ELECTRIC GUITAR ANATOMY

  • โครงสร้างของกีต้าร์ไฟฟ้า

    ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกีต้าร์ไฟฟ้าได้ในหน้านี้

องค์ประกอบในเสียงและการเล่น

Body

แม้ว่าเสียงของกีต้าร์ไฟฟ้าจะประกอบขึ้นจากปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม้ที่ใช้ทำลำตัวถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดเสียง

ลำตัวของกีต้าร์ไฟฟ้ามักประกอบด้วยไม้เนื้อแข็ง 1 ชิ้นหรือหลายชิ้น โดยไม้ที่นิยมใช้คือไม้เอลเดอร์ ไม้แอช ไม้เมเปิล และไม้มะฮอกกานี ตัวกีต้าร์บางรุ่นอาจทำจากไม้เพียงชิ้นเดียว แต่โดยทั่วไปมักทำจากไม้เนื้อแข็งหนาๆ 2, 3 หรือ 5 ชิ้นรวมกัน

กีต้าร์บางรุ่นอาจมี “ส่วนหน้า” ซึ่งทำจากไม้ชนิดหนึ่งซ้อนทับบนแกนลำตัวหรือ “ส่วนหลัง” โครงสร้างลักษณะนี้มักนิยมใช้ไม้เมเปิลซ้อนทับบนไม้มะฮอกกานี ข้อดีที่สำคัญคือลายเนื้อไม้อันสวยงามของไม้เมเปิล รวมทั้งการผสมผสานเสียงที่ใสและก้องกังวานของไม้เมเปิลเข้ากับเสียงแบบอบอุ่นและคมชัดของไม้มะฮอกกานี หรืออาจใช้ไม้อื่นๆ ผสมกันเพื่อให้ได้รูปลักษณ์ เสียง และน้ำหนักที่ต่างออกไป

โครงสร้างคอกีต้าร์และการประกอบ

เพราะมือของคนเรามีความละเอียดอ่อนมาก รูปทรงและขนาดคอกีต้าร์ที่พอดีจึงให้ความรู้สึกต่างออกไปอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน คอกีต้าร์ก็มีผลต่อเสียงและความยาวของเสียง (Sustain)

ไม้ที่ใช้ทำคอกีต้าร์ต้องเป็นไม้เนื้อแกร่งเพื่อป้องกันการบิดงอ โดยไม้ที่นิยมใช้ในกีต้าร์ไฟฟ้าคือไม้เมเปิล คอกีต้าร์อาจทำขึ้นจากไม้ชิ้นเดียวหรือประกอบขึ้นจากไม้หลายชิ้นเพื่อเสริมความแข็งแรงและมั่นคง

แม้ว่าส่วนคอจะมีผลต่อรูปแบบการเล่นเป็นหลัก แต่รูปทรงคอก็มีผลต่อน้ำหนักโดยรวมซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึงเรื่องเสียง เพราะยิ่งมีน้ำหนักมาก เสียงที่ได้ก็ยิ่งทุ้มหนา รูปทรงคอกีต้าร์มีตั้งแต่ทรง “D” แบบแบน ไปจนถึงทรง “D” แบบโค้งมน และทรง “V” แบบมีเอกลักษณ์

นอกเหนือไปจากดีไซน์ของคอกีต้าร์ วิธีการต่อคอเข้ากับตัวกีต้าร์ก็มีผลต่อทั้งเสียงและรูปลักษณ์ไม้แพ้กัน

คอกีต้าร์แบบ Bolt-on

โครงสร้างลักษณะนี้เป็นรูปแบบที่นิยมใช้ในกีต้าร์ไฟฟ้ามากที่สุด คอกีต้าร์จะต่อเข้ากับตัวกีต้าร์โดยใช้เพียงหมุดยึด ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทำง่าย ให้เสียงใสและหนักแน่น อีกทั้งยังง่ายต่อการซ่อมแซมในกรณีที่ชำรุด

คอกีต้าร์แบบ Set-In

เป็นการต่อคอโดยใช้กาวติดเข้ากับร่องหรือช่องเสียบบนตัวกีต้าร์ กรรมวิธีจะใช้เวลานานกว่าและทำยากกว่า ทำให้มีราคาสูง คอกีต้าร์ลักษณะนี้จะให้เสียงกลางและเสียงเบสที่คมชัดกว่า แต่ถ้าคอกีต้าร์หรือหัวกีต้าร์ชำรุด จะซ่อมแซมได้ค่อนข้างยาก

คอกีต้าร์แบบ Neck-Through-Body

คอกีต้าร์ลักษณะนี้จะมีความยาวจากหัวกีต้าร์ลึกลงไปถึงปลายตัวกีต้าร์ โดยติดกาวยึดแต่ละด้านของลำตัวเข้ากับฝั่งตรงข้ามของส่วนคอ ในลักษณะเดียวกับการยึดปีกเข้ากับลำตัวเครื่องบิน กีต้าร์ไฟฟ้าที่มีโครงสร้างแบบนี้จะทำยากที่สุดและมีราคาแพงที่สุด

โครงสร้างคอกีต้าร์แบบ Neck-Through-Body ทำให้ได้กีต้าร์ที่มีคุณภาพสูง ให้ความยาวเสียง (Sustain) ชั้นเลิศ และได้เสียงที่ทุ้มลึกนุ่มนวล แต่ไม่สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนคอได้ในกรณีที่ชำรุด ประกอบกับราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้กีต้าร์ไฟฟ้าแบบ Neck-Through-Body ค่อนข้างหาได้ยาก

ฟิงเกอร์บอร์ดและเฟรท (Fingerboard and Fret)

เมื่อเล่นกีต้าร์ ชิ้นส่วนที่คุณจะได้สัมผัสบ่อยที่สุดย่อมหนีไม่พ้นแผ่นไม้ฟิงเกอร์บอร์ดและชิ้นส่วนโลหะที่เรียกว่าเฟรท ชิ้นส่วนทั้ง 2 ชิ้นมีผลต่อเสียง สัมผัส และการตั้งสายกีต้าร์อย่างมาก การคัดสรรวัสดุและการประกอบเข้าด้วยกันจึงต้องทำอย่างพิถีพิถัน

ไม้เนื้อแข็งสีดำ เช่น ไม้อีโบนี่และโรสวู๊ดเป็นไม้ที่นิยมนำมาใช้ทำฟิงเกอร์บอร์ด เพราะให้ทั้งความทนทานและความยืดหยุ่น รวมทั้งเสียงอันไพเราะ ไม้ที่ค่อนข้างนิยมใช้ในกีต้าร์ไฟฟ้าคือไม้เมเปิล เพราะให้รูปลักษณ์ ความรู้สึก และโทนเสียงที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์

ตำแหน่งของเฟรทระหว่างนัทกับสะพานสายจะเป็นตัวกำหนดเสียงของโน้ตดนตรี เราจึงใช้เครื่องตัดที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ในการตัดร่องเฟรทบนฟิงเกอร์บอร์ดเพื่อให้ติดตั้งเฟรทได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ วัสดุ ความสูง ความกว้าง ตลอดจนรูปทรงโดยรวมของเฟรทก็มีผลทั้งต่อการเล่น เสียง และความเพี้ยน การผลิตและติดตั้งเฟรทจึงต้องอาศัยความใส่ใจขั้นสูง Yamaha จึงเลือกใช้แนวทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นั่นคือการใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมเพื่อความแม่นยำประกอบกับฝีมืออันละเอียดอ่อนของช่างทำกีต้าร์

นัท (Nut)

สายกีต้าร์ขึงอยู่ระหว่างสะพานสายบนตัวกีต้าร์กับชิ้นส่วนนัทที่หัวกีต้าร์ ระยะห่างระหว่างสะพานสายกับนัทจะเป็นตัวกำหนดเสียงโน้ตของสายเปิด หากความยาวสายผิดเพี้ยนไปแค่เพียงเล็กน้อย การตั้งสายให้แม่นยำอาจจะทำได้ลำบาก ความแม่นยำจึงมีความสำคัญมากในที่นี้

บนนัทจะมีร่องสำหรับพาดสายกีต้าร์ ร่องนี้จะได้รับการตัดอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เข้ากับขนาดและรูปทรงของสายกีต้าร์แต่ละเส้น ช่างจะกำหนดความลึกของร่องแต่ละร่องอย่างแม่นยำเพื่อให้สายกีต้าร์แต่ละเส้นมีความสูงพอดีกับเฟรท เพื่อความสะดวกในการเล่นเฟรทโดยไม่ทำให้เกิดเสียงจี่

นัทกีต้าร์มักทำจากพลาสติกชนิดแข็ง กระดูก หรือวัสดุสังเคราะห์คุณภาพสูง ผู้ที่เล่นกีต้าร์ไฟฟ้ามักมีการดันสายกีต้าร์อยู่เสมอ เราจึงต้องออกแบบสายกีต้าร์ให้ไม่ติดเข้ากับนัท ไม่เช่นนั้นอาจทำให้กีต้าร์เสียงเพี้ยนง่าย วัสดุที่ใช้ทำนัทกีต้าร์ไฟฟ้าจะต้องแข็งแรงเพื่อให้มีเสียงดี แต่ก็ต้องมีผิวที่ลื่นเพื่อให้ทนทานต่อการปรับตั้งสาย

สะพานสายและเทลพีซ (Bridge and Tailpiece)

สะพานสายของกีต้าร์ไฟฟ้าอาจค่อนข้างซับซ้อน เพราะมีหน้าที่หลักถึง 3 หน้าที่

สะพานสายของกีต้าร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ยึดสายเข้ากับตัวกีต้าร์เช่นเดียวกับในกีต้าร์อะคูสติก การส่งแรงสั่นสะเทือนจากลำตัวและรูปแบบการแปลงแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์ผ่านสะพานสายจะเป็นตัวควบคุมเสียงของกีต้าร์

สะพานสายของกีต้าร์ไฟฟ้ามักเรียกได้อีกอย่างว่าสะพานเทรโมโล (Tremolo) หรือไวบราโต (Vibrato) ตัวสะพานจะติดตั้งอยู่บนสปริง โดยสามารถควบคุมหรือ “ดันสาย” (Bend) เพื่อให้ได้เสียงสูงหรือต่ำลง สะพานสายของกีต้าร์ไฟฟ้ามักสามารถปรับตั้งความแม่นยำของเสียง เพื่อให้สายกีต้าร์บนเฟรต 12 ให้โน้ตสูงขึ้นมาหนึ่งเสียงเต็มพอดี การตั้งสายที่สมบูรณ์แบบจะทำให้กีต้าร์เล่นได้ไม่ผิดเพี้ยนในทุกโน้ตบนเฟรตบอร์ด

การทำงานของสะพานสาย ตลอดจนความรู้สึกและเสียงที่ได้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งรูปทรง ขนาด และวัสดุที่ใช้ในแต่ละชิ้นส่วน ไปจนถึงมุมองศาของสายกีต้าร์ที่วางอยู่บนตัวสะพาน (แซดเดิล) อย่างไรก็ดี สะพานสายของกีต้าร์ไฟฟ้าจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ แบบ Vintage Tremolo ที่สายกีต้าร์จะพาดผ่านบล็อกโลหะที่ด้านหลังของกีต้าร์ซึ่งมีสปริงยึดอยู่และขยับเคลื่อนที่ได้จำกัด สะพานสายแบบ Stoptail ซึ่งมักประกอบด้วยโลหะ 2 ชิ้น โดยยึดเข้ากับเสา (Stud) ที่ส่วนหน้าของกีต้าร์และไม่สามารถขยับได้เลย และสุดท้ายคือสะพานสายแบบ Locking Tremolo ที่มีโครงสร้างค่อนข้างซับซ้อน มีหมุดยึดสายกีต้าร์ตรงสะพานสายและนัท (ใช้สกรูหัวหกเหลี่ยม) เพื่อให้ดันสายสูงๆ ได้โดยไม่ทำให้กีต้าร์เสียงเพี้ยน

ลูกบิด (Tuning Machine)

ลูกบิดกีต้าร์มีชื่อเรียกหลายอย่างในภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็น Tuning Machine, Machine Head, Tuning Key, Tuning Peg หรือ Tuner สายกีต้าร์ทุกเส้นจะพาดผ่านนัทและยึดเข้ากับลูกบิดบนหัวกีต้าร์

เมื่อหมุนลูกบิด สายกีต้าร์จะพันเข้ากับลูกบิด ทำให้สายตึงขึ้นและให้เสียงสูงขึ้น

ลูกบิดที่ดีจะต้องมีโครงสร้างที่มั่นคงและไม่ขยับเคลื่อนที่หากไม่มีการหมุนลูกบิด เพื่อให้เสียงกีต้าร์ไม่ผิดเพี้ยน

กีต้าร์ไฟฟ้าบางชนิดอาจมีลูกบิดล็อกซึ่งจะมีกลไกล็อกสายกีต้าร์เข้ากับแกนหลัก (Post) เพื่อป้องกันไม่ให้สายไถล รวมทั้งเพิ่มความคงทนในการตั้งสาย อีกทั้งยังช่วยให้เปลี่ยนสายได้อย่างรวดเร็ว

เหล็กดามคอกีต้าร์ (Truss Rod)

สายเหล็กที่ขึงอยู่บนกีต้าร์มีแรงดึงสูงมาก จนอาจทำให้คอกีต้าร์ที่แข็งแรงบิดงอ และดึงหัวกีต้าร์ลงมาทางคอจนทำให้คอกีต้าร์โค้งงอเป็นรูปตัว “U” ได้ หากปล่อยให้คอกีต้าร์โก่งงอเกินไปจะทำให้เล่นได้ไม่สะดวก เพราะสายกีต้าร์จะหย่อนจากเฟรทบอร์ด

เพื่อแก้ไขปัญหาจากแรงดึง กีต้าร์ที่ใช้สายเหล็กจึงต้องมีก้านโลหะที่เรียกว่าเหล็กดามคอกีต้าร์ ซึ่งจะสอดเข้าไปในคอกีต้าร์โดยมีน็อตที่ปลายด้านหนึ่งสำหรับใช้ปรับเสริมคอให้ตรงและพอดีกับแรงดึงจากสายกีต้าร์ โดยตัวน็อตดังกล่าวมักจะเข้าถึงได้ผ่านฝาครอบแบบถอดได้ที่หัวกีต้าร์

คอกีต้าร์ส่วนใหญ่มักต้องปรับตั้งเป็นระยะตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงหรือเมื่อเปลี่ยนขนาดสายกีต้าร์ แต่หากมีเหล็กดามคอติดตั้งไว้อย่างดี การปรับตั้งจะสามารถทำได้โดยง่ายและมีความแม่นยำตลอดอายุการใช้งาน

ไม้

ไม้ที่ใช้ทำกีต้าร์และการผสมผสานไม้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อเสียงกีต้าร์ ในโลกนี้ไม่มีไม้ที่ “ดีที่สุด” เพราะการตัดสินเรื่องความไพเราะขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการของผู้เล่นแต่ละคน อย่างไรก็ดี เรายังมีข้อกำหนดขั้นพื้นฐานเรื่องความแข็งแรง ความทนทาน และความสมดุลของเสียงเป็นแนวทางในการเลือก ตารางด้านล่างจะแสดงตัวอย่างไม้ที่ใช้ในชิ้นส่วนต่างๆ ของกีต้าร์ Yamaha ประกอบกับแหล่งที่มาและคุณลักษณะที่โดดเด่น

ประเภทของกีต้าร์ไฟฟ้า: ลำตัวตัน

กีต้าร์ไฟฟ้าแบบลำตัวตันจะมีความตันดังชื่อ คือตัวกีต้าร์จะทำจากไม้ที่มีลักษณะตันเพียงชิ้นเดียวหรือหลายชิ้น ช่องหรือโพรงหนึ่งเดียวที่มีอยู่บนตัวกีต้าร์มีไว้สำหรับติดตั้งระบบไฟฟ้าและชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ เสียงที่ได้จากกีต้าร์ไฟฟ้าแบบลำตัวตันจะขึ้นอยู่กับประเภทและคุณภาพของไม้และชิ้นส่วนต่างๆ

กีต้าร์ลำตัวตันเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดในกีต้าร์ไฟฟ้า หากคุณกำลังมองหากีต้าร์ไฟฟ้าที่ใช้งานได้ในหลายสถานการณ์ กีต้าร์ลำตัวตันน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ ที่คุณควรพิจารณา

ประเภทของกีต้าร์ไฟฟ้า: ลำตัวกึ่งโปร่ง (Semi-Acoustic)

กีต้าร์ประเภทลำตัวกึ่งโปร่ง (หรือเรียกสั้นๆ ว่ากีต้าร์กึ่งโปร่ง) จะมีลักษณะลำตัวโปร่ง หรือบางครั้งอาจมีบล็อกไม้บริเวณส่วนกลางที่ติดตั้งปิ๊กอัพและสะพานสาย กีต้าร์ลักษณะนี้จะให้เสียงโทนอบอุ่นและตอบสนองได้อย่างมีไดนามิกกว่ากีต้าร์ลำตัวตัน

กีต้าร์ลำตัวกึ่งโปร่งยังคงมีแอมปลิฟลายเออร์เป็นหัวใจสำคัญ และไม่สามารถให้เสียงที่ดีได้หากเล่นในแบบอะคูสติก แต่ถึงอย่างนั้น เสียงที่ผ่านการขยายเสียงก็มักนุ่มนวลและมีความ “อะคูสติก” มากกว่ากีต้าร์ลำตัวตัน อีกทั้งยังให้การตอบสนองมากกว่า ทำให้เป็นที่นิยมในกลุ่มนักดนตรีบลูส์และแจ๊ส

กีต้าร์ลำตัวกึ่งโปร่งจะมีโอกาสเกิดเสียงรบกวน (Feedback) น้อยกว่ากีต้าร์ลำตัวตัน เราจึงไม่ค่อยเห็นนักกีต้าร์แนวร็อคหรือเมทัลใช้กีต้าร์ลำตัวกึ่งโปร่ง เพราะเสียงแบบผิดเพี้ยนที่นักดนตรีแนวนี้ชื่นชอบจะทำให้โอกาสการเกิดเสียงรบกวนเพิ่มขึ้น

การเลือกปิ๊กอัพให้เหมาะกับกีต้าร์

ปิ๊กอัพในกีต้าร์ไฟฟ้าและเบสเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่มีผลต่อเสียงที่ได้ สนามแม่เหล็กในระบบปิ๊กอัพจะเปลี่ยนแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์เป็นสัญญาณไฟฟ้า

เสียงจากตัวปิ๊กอัพเองเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญของเสียงกีต้าร์ แต่เนื่องจากกีต้าร์ทั้งตัวจะสั่นสะเทือนไปพร้อมกัน เสียงที่ไพเราะจึงขึ้นอยู่กับความกลมกลืนของปิ๊กอัพและส่วนอื่นๆ ของกีต้าร์ ปิ๊กอัพที่ให้เสียงดีในกีต้าร์ตัวหนึ่ง จึงอาจไม่สร้างความแปลกใหม่ในกีต้าร์อีกตัว

  • ประเภทของปิ๊กอัพ

    ปิ๊กอัพกีต้าร์ไฟฟ้าจะมีแท่งแม่เหล็กที่พันอยู่ในขดลวดทองแดง เมื่อสายกีต้าร์สั่นสะเทือน สายกีต้าร์จะเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็กและกระตุ้นให้ปิ๊กอัพส่งสัญญาณไฟฟ้า ลักษณะเฉพาะของสัญญาณนี้จะเป็นตัวกำหนดเสียงของปิ๊กอัพ และสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยการปรับจำนวนขดลวด ความหนา รวมไปถึงผิวเคลือบของขวดลวด

    โดยส่วนใหญ่แม่เหล็กในปิ๊กอัพจะเป็นแบบอัลนิโค (อะลูมิเนียมผสมนิกเกิลและโคบอลต์) หรือแบบเซรามิก แม่เหล็กเซรามิกจะให้เสียงที่ใสและทรงพลังกว่า ในขณะที่แม่เหล็กอัลนิโคจะให้เสียงที่อบอุ่นและมีความวินเทจกว่า

    ปิ๊กอัพมีด้วยกัน 2 ชนิดหลักๆ คือ ซิงเกิลคอยล์ (Single coil) และฮัมบัคกิ้ง (Humbucking)

ปิ๊กอัพแบบซิงเกิลคอยล์ (Single coil)

ปิ๊กอัพชนิดนี้จะมีขวดลวด 1 ชุดพันอยู่รอบแท่งแม่เหล็ก มีความไวต่อเสียงฮัมหรือเสียงจี่ แต่โทนเสียงที่ได้จะใสและคมชัด ทำให้มีความแตกต่างในการเล่นเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

ปิ๊กอัพแบบฮัมบัคกิ้ง (Humbucking)

ปิ๊กอัพแบบฮัมบัคกิ้งคือปิ๊กอัพที่มีขดลวด 2 ชุดติดตั้งอยู่คู่กันและพันเข้าด้วยกัน เสียงปิ๊กอัพที่ได้จึงมีถึง 2 เสียง ทำให้มีความหนาและทรงพลัง อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเสียงฮัมหรือเสียงจี่ กีต้าร์บางตัวที่ใช้ปิ๊กอัพแบบฮัมบัคกิ้งจะมีสวิตช์ (มักเรียกว่า Coil Split หรือ Tap) สำหรับปิดการทำงานของขดลวดชุดหนึ่งเพื่อให้ปิ๊กอัพทำงานแบบปิ๊กอัพซิงเกิลคอยล์

- ระบบไฟฟ้าแบบ Active หรือ Passive

นอกจากจะมีแม่เหล็กหลายชนิดและมีปิ๊กอัพทั้งแบบซิงเกิลคอยล์และฮัมบัคกิ้งให้เลือก กีต้าร์ไฟฟ้าและเบสบางรุ่นยังมีระบบไฟฟ้าให้เลือกทั้งแบบ Active หรือ Passive

ระบบไฟฟ้าแบบ Passive เป็นตัวเลือกที่เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะมีวงจรไม่ซับซ้อนและมีหน้าที่ควบคุมความดังและโทนเสียงเพื่อลดความใสของเสียงเท่านั้น

ส่วนปิ๊กอัพแบบ Active จะมีวงจรแบบใช้แบตเตอรี่เพื่อให้คุณมี EQ ที่เปิด/ปิดได้ตามต้องการ เหมือนระบบควบคุมเสียงแหลมและเสียงเบสในวงจร Hi-Fi ทำให้มีโทนเสียงให้เลือกมากขึ้น และมักให้เสียงที่ดังขึ้นและฟังดูทันสมัยขึ้นด้วย

to page top

Select Your Location