ACOUSTIC GUITAR ANATOMY

  • โครงสร้างของกีต้าร์อะคูสติก

    ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกีต้าร์อะคูสติกได้ในหน้านี้

องค์ประกอบในเสียงและการเล่น

Body

ลำตัวของกีต้าร์ทำหน้าทำเสมือนลำโพงของกีต้าร์อะคูสติก และเป็นองค์ประกอบที่มีผลต่อเสียงของกีต้าร์มากที่สุด

แรงสั่นสะเทือนจากสายกีต้าร์จะถูกส่งผ่านสะพานสายไปยังไม้ด้านหน้าของลำตัวกีต้าร์ จากนั้นไม้หน้าจะส่งแรงสั่นสะเทือนต่อไปยังไม้ด้านหลังและด้านข้าง เสียงที่เราได้ยินจากกีต้าร์เป็นผลรวมจากการสั่นสะเทือนของไม้ทั้ง 3 ด้าน ซึ่งทำให้อากาศภายในตัวกีต้าร์ไหลเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน การปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของตัวกีต้าร์เพียงเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นรูปทรง ขนาด หรือวัสดุ ล้วนแล้วแต่มีผลต่อเสียงทั้งสิ้น

คอ

เพราะมือของคนเรามีความละเอียดอ่อนมาก รูปทรงและขนาดคอกีต้าร์ที่พอดีจึงให้ความรู้สึกต่างออกไปอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน คอกีต้าร์ก็มีผลต่อเสียงและความยาวของเสียง (Sustain)

เพื่อป้องกันการบิดงอ ไม้ที่ใช้ทำคอกีต้าร์จึงต้องเป็นไม้เนื้อแกร่ง เช่น มะฮอกกานี โรสวู๊ด นาโต้ ประดู่ หรืออาจเป็นไม้เมเปิล คอกีต้าร์อาจทำขึ้นจากไม้ชิ้นเดียวหรือประกอบขึ้นจากไม้หลายชิ้นเพื่อเสริมความแข็งแรงและมั่นคง Yamaha ใช้ไม้มะฮอกกานีร่วมกับไม้โรสวู๊ด ประดู่ หรืออีโบนี่ในคอกีต้าร์แบบ 3 ชิ้นและ 5 ชิ้น เพื่อผสมผสานความแข็งแรงและคุณสมบัติทางเสียงของไม้แต่ละชนิดเพื่อให้เราได้เสียงที่ต้องการ

แม้ว่าส่วนคอจะมีผลต่อรูปแบบการเล่นเป็นหลัก แต่รูปทรงคอก็มีผลต่อน้ำหนักโดยรวมซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึงเรื่องเสียง เพราะยิ่งมีน้ำหนักมาก เสียงที่ได้ก็ยิ่งทุ้มหนา รูปทรงคอกีต้าร์มีตั้งแต่ทรง “D” แบบแบน ไปจนถึงทรง “D” แบบโค้งมน และทรง “V” แบบมีเอกลักษณ์ รูปทรงที่ถูกใจขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล Yamaha จึงใช้เวลาหลายปีเพื่อศึกษาวิจัยและปรับแต่งรูปทรงคอเพื่อสร้างรูปทรงคอที่เหมาะกับคุณลักษณะที่แตกต่างกันไปของกีต้าร์แต่ละรุ่น พร้อมทั้งสร้างสมดุลระหว่างความสบายและความลื่นไหลในการเล่นกับความแข็งแรง คงทน และเสียงอันไพเราะ

ความยาวของคอกีต้าร์หรือที่เรียกว่า “Scale Length” มีผลต่อทั้งเสียงและความรู้สึกที่ได้จากกีต้าร์ กีต้าร์คอสั้น เช่น รุ่น FS ที่มีคอสั้นกว่ารุ่นทั่วไปเพียงไม่กี่มิลลิเมตร จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกสบายกว่า อีกทั้งยังทำให้กีต้าร์มีเสียงใสและคมชัดขึ้น

หย่อง

สะพานสายทำหน้าที่เป็นจุดยึดสายกีต้าร์ไว้บนไม้หน้า ในกีต้าร์อะคูสติก สะพานสายมักประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ ฐานสะพานสายกับแซดเดิล (Saddle) ฐานสะพานสายคือแผ่นไม้ที่ยึดเข้ากับไม้หน้าโดยตรง โดยมีแซดเดิลวางอยู่ในร่องบนตัวฐานนี้ บนสะพานสายและไม้หน้าจะมีรูเจาะสำหรับสอดสายกีต้าร์ และมีหมุดยึดรูปทรงลิ่มซึ่งทำหน้าที่ยึดสายกีต้าร์เอาไว้

สะพานสายมีหน้าที่หลัก 2 อย่าง คือ ส่งแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์ไปยังลำตัวกีต้าร์ รวมทั้งควบคุมความยาวของสายกีต้าร์ ซึ่งเป็นตัวกำหนดความเที่ยงตรงของเสียงบนเฟรทบอร์ด (หรือควบคุมให้เสียงกีต้าร์ไม่เพี้ยนนั่นเอง)

เพื่อประสิทธิภาพในการส่งแรงสั่นสะเทือนจากสายกีต้าร์ไปยังตัวกีต้าร์โดยที่สูญเสียแรงสั่นสะเทือนน้อยที่สุด วัสดุที่ใช้ทำฐานสะพานสายและแซดเดิลจึงต้องมีความแข็งพอสมควร โดยทั่วไป ฐานสะพานสายมักทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้อีโบนี่หรือโรสวู๊ด ส่วนวัสดุที่ใช้ทำแซดเดิลมักเป็นยางเรซินชนิดแข็งหรือกระดูก ในอดีตนั้นงาช้างเคยถือเป็นวัสดุที่ดีที่สุด แต่เมื่องาช้างกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายเมื่อหลายปีก่อน วัสดุสังเคราะห์รูปแบบใหม่จึงกลายเป็นที่นิยม เพราะให้ความสมดุลระหว่างเสียง ความทนทาน และการผลิตที่ยั่งยืน

วัสดุที่ใช้ทำสะพานสายมีผลต่อเสียงของกีต้าร์อย่างมาก ยิ่งวัสดุมีความแข็งมากเท่าไหร่ เสียงที่ได้ก็ยิ่งใสและคมชัด แต่วัสดุที่แข็งมักราคาแพง ทำยาก และแตกหักง่าย

บนแซดเดิลจะมีสายกีต้าร์พาดอยู่ การขึ้นรูปแซดเดิลต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อควบคุมความสูงของสายกีต้าร์และเพื่อให้รับกับส่วนโค้งของคอกีต้าร์

องศาในการติดตั้งแซดเดิลต้องอาศัยการคำนวณอย่างแม่นยำ ให้ปลายสาย E บน (สายที่ 6) อยู่ใกล้กับคอกีต้าร์มากกว่าปลายสาย E ล่าง (สายที่ 1) เพื่อให้ได้เสียงที่ถูกต้องจากทั้ง 6 สาย และเพื่อให้สายกีต้าร์บนเฟรต 12 ให้โน้ตสูงขึ้นมาหนึ่งเสียงเต็มพอดี การติดตั้งสายที่ 3 (G) บนแซดเดิลอาจต้องเพิ่มระยะออฟเซ็ตเล็กน้อยเพื่อให้ได้เสียงที่ถูกต้อง สำหรับกีต้าร์อะคูสติก การปรับแต่งภายหลังอาจจะทำได้ลำบาก ผู้ผลิตจึงต้องออกแบบและทำกีต้าร์อย่างพิถีพิถันเพื่อให้สะพานสายอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมเมื่อถึงมือผู้ใช้และไม่มีการเคลื่อนที่แม้จะผ่านการใช้งานหลายปี

ฟิงเกอร์บอร์ดและเฟรท (Fingerboard and Fret)

เมื่อเล่นกีต้าร์ ชิ้นส่วนที่คุณจะได้สัมผัสบ่อยที่สุดย่อมหนีไม่พ้นแผ่นไม้ฟิงเกอร์บอร์ดและชิ้นส่วนโลหะที่เรียกว่าเฟรท ชิ้นส่วนทั้ง 2 ชิ้นมีผลต่อเสียง สัมผัส และการตั้งสายกีต้าร์อย่างมาก การคัดสรรวัสดุและการประกอบเข้าด้วยกันจึงต้องทำอย่างพิถีพิถัน

ไม้เนื้อแข็งสีดำ เช่น ไม้อีโบนี่และโรสวู๊ดเป็นไม้ที่นิยมนำมาใช้ทำฟิงเกอร์บอร์ด เพราะให้ทั้งความทนทานและความยืดหยุ่น รวมทั้งเสียงอันไพเราะ

ตำแหน่งของเฟรทระหว่างนัทกับสะพานสายจะเป็นตัวกำหนดเสียงของโน้ตดนตรี เราจึงใช้เครื่องตัดที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ในการตัดร่องเฟรทบนฟิงเกอร์บอร์ดเพื่อให้ติดตั้งเฟรทได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ นอกจากนี้ วัสดุ ความสูง ความกว้าง และรูปทรงโดยรวมของเฟรทยังมีผลทั้งต่อการเล่น เสียง และความเพี้ยน การผลิตและติดตั้งเฟรทจึงต้องอาศัยความใส่ใจขั้นสูง Yamaha จึงเลือกใช้แนวทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นั่นคือการใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมเพื่อความแม่นยำประกอบกับฝีมืออันละเอียดอ่อนของช่างทำกีต้าร์

นัท (Nut)

สายกีต้าร์ขึงอยู่ระหว่างสะพานสายบนตัวกีต้าร์กับชิ้นส่วนนัทที่หัวกีต้าร์ ระยะห่างระหว่างสะพานสายกับนัทจะเป็นตัวกำหนดเสียงโน้ตของสายเปิด หากความยาวสายผิดเพี้ยนไปแค่เพียงเล็กน้อย การตั้งสายให้แม่นยำอาจจะทำได้ลำบาก ความแม่นยำจึงมีความสำคัญมากในที่นี้

บนนัทจะมีร่องสำหรับพาดสายกีต้าร์ ร่องนี้จะได้รับการตัดอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เข้ากับขนาดและรูปทรงของสายกีต้าร์แต่ละเส้น ช่างจะกำหนดความลึกของร่องแต่ละร่องอย่างแม่นยำเพื่อให้สายกีต้าร์แต่ละเส้นมีความสูงพอดีกับเฟรท เพื่อความสะดวกในการเล่นเฟรทโดยไม่ทำให้เกิดเสียงจี่

นัทกีต้าร์มักทำจากวัสดุชนิดเดียวกับแซดเดิล คือยางเรซินชนิดแข็ง กระดูก หรือวัสดุสังเคราะห์คุณภาพสูง ยิ่งใช้วัสดุที่แข็ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็มักยิ่งดี

ลูกบิด (Tuning Machine)

ลูกบิดกีต้าร์มีชื่อเรียกหลายอย่างในภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็น Tuning Machine, Machine Head, Tuning Key, Tuning Peg หรือ Tuner สายกีต้าร์ทุกเส้นจะพาดผ่านนัทและยึดเข้ากับลูกบิดบนหัวกีต้าร์ ลูกบิดทั้งหมดอาจเรียงอยู่ทางฝั่งเดียว (เรียงต่อกัน 6 ตัว) หรือที่ทั้ง 2 ฝั่งของหัวกีต้าร์ (ฝั่งละ 3 ตัว)

เมื่อหมุนลูกบิด สายกีต้าร์จะพันเข้ากับลูกบิด ทำให้สายตึงขึ้นและให้เสียงสูงขึ้น

ลูกบิดที่ดีจะต้องมีโครงสร้างที่มั่นคงและไม่ขยับเคลื่อนที่หากไม่มีการหมุนลูกบิด เพื่อให้เสียงกีต้าร์ไม่ผิดเพี้ยน

เหล็กดามคอกีต้าร์ (Truss Rod)

สายเหล็กที่ขึงอยู่บนกีต้าร์มีแรงดึงสูงมาก จนอาจทำให้คอกีต้าร์ที่แข็งแรงบิดงอ และดึงหัวกีต้าร์ลงมาทางคอจนทำให้คอกีต้าร์โค้งงอเป็นรูปตัว “U” ได้ หากปล่อยให้คอกีต้าร์โก่งงอเกินไปจะทำให้เล่นได้ไม่สะดวก เพราะสายกีต้าร์จะหย่อนจากเฟรทบอร์ด

เพื่อแก้ไขปัญหาจากแรงดึง กีต้าร์ที่ใช้สายเหล็กจึงต้องมีก้านโลหะที่เรียกว่าเหล็กดามคอกีต้าร์ ซึ่งจะสอดเข้าไปในคอกีต้าร์โดยมีน็อตปรับที่ปลายด้านหนึ่งสำหรับใช้ปรับเสริมคอให้ตรงและพอดีกับแรงดึงจากสายกีต้าร์ โดยน็อตปรับดังกล่าวมักจะเข้าถึงได้ผ่านฝาครอบแบบถอดได้ที่หัวกีต้าร์หรือผ่านทางโพรงเสียง (Sound Hole) บริเวณปลายคอกีต้าร์

คอกีต้าร์ส่วนใหญ่มักต้องปรับตั้งเป็นระยะตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงหรือเมื่อเปลี่ยนขนาดสายกีต้าร์ แต่หากมีเหล็กดามคอติดตั้งไว้อย่างดี การปรับตั้งจะสามารถทำได้โดยง่ายและมีความแม่นยำตลอดอายุการใช้งาน

กีต้าร์สายไนล่อนมักไม่ต้องมีเหล็กดามคอกีต้าร์ เพราะแรงดึงจากสายไนล่อนจะมีไม่มากเท่าสายเหล็ก

ไม้

ไม้ที่ใช้ทำกีต้าร์และการผสมผสานไม้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อเสียงกีต้าร์ ในโลกนี้ไม่มีไม้ที่ “ดีที่สุด” เพราะการตัดสินเรื่องความไพเราะขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการของผู้เล่นแต่ละคน อย่างไรก็ดี เรายังมีข้อกำหนดขั้นพื้นฐานเรื่องความแข็งแรง ความทนทาน และความสมดุลของเสียงเป็นแนวทางในการเลือก ตารางด้านล่างจะแสดงตัวอย่างไม้ที่ใช้ในชิ้นส่วนต่างๆ ของกีต้าร์ Yamaha ประกอบกับแหล่งที่มาและคุณลักษณะที่โดดเด่น

- ไม้แท้และไม้อัด

ไม้ที่ใช้ทำลำตัวกีต้าร์อะคูสติกมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ คือ ไม้แท้ (Solid) ซึ่งเป็นไม้แผ่นเดียวจากธรรมชาติ และไม้อัด (Laminate) ซึ่งประกอบขึ้นจากแผ่นไม้บางๆ หลายชั้น (มักมี 3 ชั้น) วางประกบกัน

ไม้แท้แบบแผ่นเดียวมักให้เสียงดีกว่าไม้อัด เพราะสามารถส่งแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่าชั้นไม้ที่ติดกาวเข้าด้วยกัน แต่มักมีราคาสูงกว่า แตกหักง่ายกว่า และไม่ค่อยทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศหรือความชื้น

ไม้แท้ไม่ได้มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกชนิด เราจึงไม่อาจพูดได้ว่าไม้แท้ให้เสียงดีกว่าไม้อัดเสมอ หากได้รับการออกแบบอย่างดีและเลือกใช้ความหนาของไม้ วัสดุ และสูตรกาวที่ลงตัว กีต้าร์ที่ทำจากไม้อัดก็อาจให้เสียงดีกว่า อีกทั้งยังมีความทนทานสูง

จุดที่คุณจะสังเกตความแตกต่างระหว่างไม้แท้กับไม้อัดได้มากที่สุดคือส่วนไม้หน้าของกีต้าร์อะคูสติก เพราะเป็นบริเวณที่เกิดการสั่นสะเทือนมากที่สุด

รูปทรงและขนาดของตัวกีต้าร์

รูปทรงของลำตัวมีผลต่อรูปลักษณ์ความสวยงามของกีต้าร์อะคูสติก ทั้งยังมีผลต่อเรื่องเสียงอย่างมาก

กีต้าร์ที่มีลำตัวขนาดใหญ่จะให้เสียงที่ “ใหญ่กว่า” คือให้เสียงย่านความถี่ต่ำและสูงมากกว่า (หรือเสียงเบสกับเสียงแหลม) ส่วนลำตัวที่มีขนาดเล็กจะให้เสียง “เล็กกว่า” คือให้เสียงย่านความถี่ต่ำและสูงน้อยกว่า แต่ให้เสียงในย่านความถี่กลางที่หนักแน่นกว่า

โทนเสียงแต่ละแบบย่อมตอบโจทย์ผู้เล่น แนวดนตรี และการใช้งานที่แตกต่างกันไป Yamaha มีรูปทรงลำตัวกีต้าร์หลากหลายแบบที่ให้เสียง รูปลักษณ์ และความรู้สึกแตกต่างกันไป แม้จะเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนเล็กๆ แต่คุณจะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

สำหรับผู้เล่นที่ต้องการโน้ตเสียงสูงๆ ตัวกีต้าร์แบบมีชายเว้า (Cutaway) จะช่วยให้คุณเล่นเฟรทลึกๆ ใกล้กับคอกีต้าร์ได้ง่ายขึ้นโดยที่ตัวกีต้าร์ไม่กีดขวาง

โครงสร้างภายใน

กีต้าร์อะคูสติกจะมีไม้หน้าที่บางมาก เราจึงต้องติดแท่งไม้หรือที่เรียกว่าโครงสร้างภายใน (Bracing) ภายในตัวกีต้าร์เพื่อเสริมความแข็งแรง ไม่ให้ไม้หน้าหักงอหรือแตกร้าวเมื่อเจอแรงดึงจากสายกีต้าร์ ไม้หน้าเป็นแหล่งกำเนิดเสียงที่สำคัญของกีต้าร์ การติดโครงสร้างภายในเข้ากับไม้หน้าจะเปลี่ยนรูปแบบการสั่นสะเทือนของไม้หน้า และมีผลต่อเนื่องไปถึงเสียงของกีต้าร์

นอกจากจะมีผลต่อโครงสร้างโดยรวมแล้ว รูปแบบโครงสร้างภายในยังมีผลต่อโทนเสียงของกีต้าร์อย่างมาก องค์ประกอบที่ปรับเปลี่ยนได้ในโครงสร้างภายในมีทั้งรูปทรง ขนาด โครงร่าง และการจัดวางไม้แต่ละแท่ง (ใต้ไม้หน้าของกีต้าร์อะคูสติกอาจมีโครงไม้ติดอยู่มากกว่า 10 แท่ง) การผสมผสานขององค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้กีต้าร์แต่ละตัวมีเอกลักษณ์ต่างกันไป

เดิมที การออกแบบโครงสร้างภายในจะใช้การลองผิดลองถูก ช่างทำกีต้าร์จะค่อยๆ ปรับเค้าโครง ขึ้นรูป และตัดแต่งโครงสร้างจนกว่าจะได้เสียงที่ไพเราะ แล้วอาศัยประสบการณ์ตัดสินใจว่าโครงสร้างแข็งแรงพอที่จะรองรับไม้หน้าได้ตลอดหลายปีหรือไม่

งานออกแบบกีต้าร์อะคูสติกใหม่ล่าสุดของ Yamaha ใช้โปรแกรมจำลองผ่านคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในการประเมินรูปทรง ขนาด และการจัดวางไม้แต่ละแท่งเพื่อให้ได้ทั้งความแข็งแรงและโทนเสียงอย่างที่ต้องการ

ส่วนต่อระหว่างคอกับตัวกีต้าร์

จุดต่อระหว่างคอกับตัวกีต้าร์ถือเป็นจุดที่สำคัญมาก ต้องมีความแข็งแรงสูงเพื่อไม่ให้คอขยับเคลื่อนที่ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถส่งแรงสั่นสะเทือนกลับไปที่ลำตัวได้ดีเพื่อให้เราได้เสียงที่ไพเราะ เพราะแรงสั่นสะเทือนที่ส่วนคอและหัวกีต้าร์มีผลต่อเสียงของกีต้าร์ รูปทรงของส่วนต่อและความแม่นยำในการต่อประสานจึงมีผลอย่างมากในที่นี้

กีต้าร์อะคูสติกทุกตัวของ Yamaha (ยกเว้นกีต้าร์ขนาดเล็ก เช่น JR1 และ APXT) จะใช้ส่วนต่อแบบเดือยหางเหยี่ยว (Dovetail Neck Joint) ซึ่งจะมีรูปทรงคอที่ประสานเข้ากับช่องต่อบนลำตัวได้พอดี ขึ้นรูปด้วยมือ แล้วจึงประกอบเข้าด้วยกันโดยใช้กาวเพียงเล็กน้อย แม้จะต้องอาศัยความอดทนสูง แต่วิธีนี้ก็ทำให้กีต้าร์ทุกตัวของ Yamaha มีโครงสร้างที่คงทนตลอดอายุการใช้งานและให้เสียงที่ไพเราะกังวานที่สุด

  • ระบบปิ๊กอัพเอกสิทธิ์เฉพาะของ Yamaha

    หากคุณได้ฟังเสียงกีต้าร์อะคูสติกแบบใกล้ชิดโดยไม่ผ่านเครื่องขยายเสียง เสียงที่คุณได้ยินคือเสียงที่ดังมาจากทุกส่วนของกีต้าร์ ทั้งไม้หน้า ไม้หลัง ไม้ข้าง รวมไปถึงส่วนคอและหัวของกีต้าร์ นักกีต้าร์อะคูสติกส่วนใหญ่ที่จะแสดงสดมักอยากถ่ายทอดเสียงในลักษณะนี้

    ในเวลาที่เชื่อมต่อกีต้าร์เข้ากับเครื่องขยายเสียง สิ่งที่ผู้เล่นมักต้องการคือความสมดุลของเสียงที่ได้ตามธรรมชาติกับสิ่งที่ทำได้จริง การใช้ไมโครโฟน 1 ตัวหรือหลายๆ ตัวจะให้เสียงที่เป็นธรรมชาติที่สุด แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการแสดงบนเวที เพราะมีทั้งปัญหาเรื่องเสียงหวีดหอน เสียงแทรกจากเครื่องดนตรีอื่นบนเวที อีกทั้งนักกีต้าร์ยังไม่สามารถถอยห่างจากไมโครโฟนได้

    การมีระบบปิ๊กอัพในตัวช่วยแก้ปัญหามากมาย แต่เสียงที่ได้อาจไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ปิ๊กอัพที่นิยมใช้มากที่สุดคือแบบติดตั้งด้านใต้แซดเดิล แต่หลายคนมักพบปัญหาว่าเสียงที่ได้ส่วนใหญ่เป็นเพียงเสียงจากสายกีต้าร์ ปิ๊กอัพชนิดนี้จึงอาจเหมาะกับการเล่นสด แต่ไม่ให้เสียงกีต้าร์อะคูสติกที่เป็นธรรมชาติ

    Yamaha ทุ่มเทเวลามากกว่า 30 ปีเพื่อพัฒนาระบบปิ๊กอัพเอกสิทธิ์เฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อความสมดุลระหว่างเสียงที่เป็นธรรมชาติกับการใช้งานจริงบนเวที

เทคโนโลยี Acoustic Resonance Transducer จาก Yamaha

ระบบปิ๊กอัพ Acoustic Resonance Transducer (ART) ของ Yamaha เป็นระบบคอนแทคกีต้าร์ที่ติดตั้งอยู่ใต้ไม้หน้า ปิ๊กอัพชนิดนี้จะรับรู้ได้ทั้งการสั่นสะเทือนของไม้และอากาศโดยรอบ ทำให้ได้เสียงที่มีไดนามิก เป็นธรรมชาติ ทั้งยังตอบสนองต่อเสียงเคาะตัวกีต้าร์ได้เป็นอย่างดี

การออกแบบปั๊กอัพชนิดนี้เป็นการยกเครื่องใหม่สำหรับใช้กับกีต้าร์อะคูสติกโดยเฉพาะ ทุกองค์ประกอบออกแบบมาเพื่อให้คุณภาพเสียงสูงสุด แม้กระทั่งกาวที่ใช้ยึดปิ๊กอัพเข้ากับไม้หน้าก็คัดสรรมาโดยเน้นเรื่องเสียงเป็นหลัก

ระบบ Studio Response Technology [SRT]

ระบบ SRT ของ Yamaha ใช้ระบบปิ๊กอัพและปรีแอมป์ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว เพื่อให้คุณได้เสียงกีต้าร์ราวกับใช้ไมโครโฟนเป็นเครื่องขยายเสียง โดยใช้โปรแกรม Digital Signal Processing (DSP) เพื่อจำลองรูปแบบเสียงจากไมโครโฟน ราวกับคุณจ่อไมค์ไปที่อากาศและห้องรอบๆ ตัวกีต้าร์และทุกชิ้นส่วนของกีต้าร์ เพื่อให้คุณได้เสียงที่เป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ไมค์

การรังสรรค์เสียงที่เราจะได้จากระบบ SRT ต้องอาศัยการบันทึกเสียงจากไมโครโฟนทุกรุ่น แต่กระบวนการนี้ก็ทำให้เราได้เสียงที่ผ่านการขยาย แต่มีความใกล้เคียงกับเสียงอะคูสติกมากที่สุด

ระบบไฟฟ้า SRT2

ระบบ SRT2 เป็นระบบปิ๊กอัพใหม่ล่าสุดที่ Yamaha พัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในการแสดงสดบนเวทีโดยเฉพาะ

ระบบปรีแอมป์ SRT จะผสมผสานเสียงดิบจากเครื่องดนตรีเข้ากับเสียงไมค์ที่ออกแบบโดยระบบ SRT เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเสียงไมค์ที่เป็นธรรมชาติกับศักยภาพอันล้ำหน้าของระบบปิ๊กอัพด้านใต้แซดเดิล

ระบบ SRT2 จะมีเสียงไมโครโฟนถึง 2 ประเภท ประกอบกับอีควอไลเซอร์ย่านความถี่ต่ำและสูง เพื่อสร้างสรรค์เสียงที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกแนวเพลง ทุกสถานที่ และทุกเวลา

ระบบ SRT POWERED

“SRT POWERED” เป็นระบบที่มีในซีรีส์ Silent Guitar ใช้เทคโนโลยีปิ๊กอัพและปรีแอมป์แบบเดียวกับระบบ SRT ด้วยลักษณะลำตัวตันของ Silent Guitar ทำให้กีต้าร์รุ่นนี้ไม่มีเสียงอะคูสติกแบบธรรมชาติ ระบบ SRT Powered จึงใช้การผสมผสานระบบปิ๊กอัพด้านใต้แซดเดิลกับเสียงไมโครโฟนที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียว

ระบบ SRT Zero Impact Pickup

ระบบ SRT Zero Impact Pickup เป็นระบบปิ๊กอัพแบบ Passive ชนิดติดตั้งด้านใต้แซดเดิลซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ Yamaha ออกแบบมาเพื่อช่วยลดผลกระทบที่มีต่อเสียงและรูปลักษณ์ดั้งเดิมของกีต้าร์ โดยใช้ชิ้นส่วนปิ๊กอัพเพียงชิ้นเดียวสำหรับสายกีต้าร์แต่ละเส้น เพื่อให้ได้เสียงที่ทรงพลังกว่า มีไดนามิกกว่า และมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าปิ๊กอัพที่ติดตั้งด้านใต้แซดเดิลแบบทั่วไป ทั้งยังใช้งานแบบเดี่ยวๆ เสียบสายแจ็คโดยตรง หรือใช้ร่วมกับระบบปรีแอมป์ SRT ก็ได้

ระบบ TransAcoustic

กีต้าร์ที่มีระบบ TransAcoustic จะมีเสียงสะท้อน/เสียงคอรัสในตัว เพื่อรังสรรค์เสียงอะคูสติกที่จุดประกายและดึงดูดใจผู้ฟังโดยไม่ต้องอาศัยเอฟเฟกต์จากภายนอก เครื่องขยายเสียง หรือความรู้ทางเทคนิคใดๆ

1. ปิ๊กอัพด้านใต้แซดเดิลตรวจจับการสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์

2. ปรีแอมป์ประมวลผลสัญญาณและใส่เอฟเฟกต์ต่างๆ เช่น เสียงสะท้อนและเสียงคอรัส

3. แอคทูเอเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังกีต้าร์ทำหน้าที่ส่งสัญญาณนี้

4. ลำตัวของกีต้าร์กลายเป็นลำโพงให้กับระบบ และผสมผสานเสียงเอฟเฟกต์เข้ากับเสียงจากกีต้าร์ได้อย่างไร้ที่ติ โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องขยายเสียงหรือลำโพงจากภายนอก

to page top

Select Your Location