ซีรีส์ RIVAGE PM
คุณภาพการประมวลผลถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของเครื่องผสมสัญญาณเสียงระบบดิจิตอลของ Yamaha โดยซีรีส์ RIVAGE PM จะใช้ปลั๊กอินที่ใช้งานได้อย่างครอบคลุมซึ่งจะครอบคลุมถึงรุ่นคลาสสิกแบบสั่งทำพิเศษต่างๆ ด้วย โดยซีรี่ส์ RIVAGE PM จะมีปลั๊กอินมากกว่า 50 รายการ และพลังการประมวลผลที่ช่วยให้ใช้ปลั๊กอินที่ซับซ้อนได้มากถึง 256* รายการ เช่น Portico 5033 หรือ Portico 5043 พร้อมกัน นอกจากนี้ยังมี Eventide H3000 Ultra-Harmonizer และเอฟเฟกต์เสียงก้อง SP2016 แบบใหม่ที่มีให้เลือกใช้หลากหลายรายการ มีฟังก์ชั่นผสมสัญญาณเสียงไมโครโฟนอัตโนมัติของ Dan Dugan และอื่นๆ อีกมากมาย และการร่วมมือจากบุคคลภายนอกที่โดดเด่นเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ปลั๊กอินของ Yamaha และยังช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นเป็นพิเศษและมีพลังการประมวลผลที่ช่วยให้วิศวกรเสียงมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ
*มี DSP-RX-EX
Rupert EQ 773
Rupert EQ 773 เป็นหน่วยประมวลผลที่จะจำลองส่วนอีควอไลเซอร์ที่ติดตั้งไว้ในเครื่องผสมสัญญาณเสียงคลาสสิกจำนวนมากซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Rupert Neve ในช่วงปี 1960 ถึง 1970 โดยจะจำลองของ EQ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำโดยไม่มีใครเปรียบเทียบได้ ซึ่งเป็นที่รักของวิศวกรทั่วโลกและนำมาใช้ในการบันทึกทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก ด้วยแนวเส้น EQ ที่โดดเด่นและโทนเสียงที่สมบูรณ์ เครื่องนี้จึงมีความโดดเด่นในเรื่องของการปรับค่าเพียงเล็กน้อยแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการถ่ายทอดเสียงและความรู้สึกที่ฟังสบาย แม้แต่การเพิ่ม EQ ให้มากขึ้น ก็ไม่ทำให้หูล้า แต่จะเป็นการขับแหล่งกำเนิดเสียงให้มีพลังมากขึ้น
Rupert Comp 754
Rupert Comp 754 จะจำลองส่วนของ Comp/Limiter อื่นที่ติดตั้งไว้ในเครื่องผสมสัญญาณเสียงคลาสสิกจำนวนมากซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Rupert Neve ในช่วงปี 1960 ถึง 1970 ซึ่งรุ่นนี้จะติดตั้งอยู่ที่รูทของบัสคอมเพรสเซอร์ซึ่งเป็นรายการมาตรฐานในสตูดิโอและสถานีออกอากาศ และมีการบันทึกไว้ว่าสามารถบีบอัดสัญญาณได้อย่างราบรื่นเป็นธรรมชาติจึงไม่ลดความเข้มของพลังงานที่ปล่อยออกจากแหล่งกำเนิด
Rupert Comp 830
Rupert Comp 830 จะจำลองส่วนคอมเพรสเซอร์ที่ติดตั้งไว้ในเครื่องบันทึกประสิทธิภาพสูงอย่างตรงไปตรงมา โดยได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Rupert Neve ในช่วงปี 1980 นอกเหนือจากการควบคุม “Attack” และ “Release” ที่หลากหลายแล้ว คอมเพรสเซอร์นี้ยังมี EQ และฟิลเตอร์แบบ Sidechain ซึ่งสามารถช่วยให้ปรับแต่งโทนเสียงที่หลากหลายได้เพื่อให้คุณสามารถสร้างสรรค์เสียงได้เกือบทุกเสียงที่คุณจินตนาการได้
Rupert EQ 810
Rupert EQ 810 จะจำลองส่วนอีควอไลเซอร์ที่ติดตั้งไว้ในเครื่องบันทึกส่วนใหญ่ที่พัฒนาขึ้นโดย Rupert Neve ในช่วงปี 1980 ลักษณะเด่นของ EQ นี้คือ ไม่ว่าจะใช้เพื่อเพิ่มหรือลดเสียง ก็จะสามารถเปลี่ยนโทนเสียงได้มีประสิทธิภาพและเข้าใจได้ง่าย ซึ่งจะตรงกันข้ามกับเสียงที่น่าทึ่งของ Rupert EQ 773 และ Rupert EQ 810 ช่วยให้สามารถเปลี่ยนโทนเสียงที่ละเอียดและราบรื่นได้ง่าย ในขณะที่ยังสามารถควบคุมได้อย่างยืดหยุ่น EQ ที่ครอบคลุมนี้ช่วยให้สร้างสรรค์ได้ทุกเสียงที่ต้องการ
Portico 5033
Portico 5033 คือการจำลองระบบดิจิตอลของ EQ ระบบอนาล็อกแบบ 5 แบนด์ ที่สร้างขึ้นโดย Rupert Neve Designs Portico 5033 EQ จะสืบทอดคุณสมบัติต่างๆ จาก 1073 ซึ่งเริ่มแรกออกแบบโดย Rupert Neve โดยตอนนี้ถือเป็นรุ่นคลาสสิกและมีลักษณะการควบคุมโทนเสียงที่โดดเด่น ตัวแปลงอินพุต/เอาต์พุตที่ได้รับออกแบบโดย Rupert Neve เอง จะถูกจำลองเช่นเดียวกันด้วยเทคโนโลยี VCM จึงทำให้รุ่นนี้จะยังคงสามารถถ่ายทอดเสียงดนตรีที่มีคุณภาพสูงได้แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม
Portico 5043
หน่วยประมวลผล Portico 5043 จะจำลองคอมเพรสเซอร์อนาล็อกที่ผลิตโดย Rupert Neve Designs ซึ่งได้รับการออกแบบให้เป็น “พันธมิตร” กับ Portico 5033 EQ ซึ่งฟังก์ชั่นที่โดดเด่นที่สุดก็คือ การลดระดับเกนที่สามารถสลับเปลี่ยนได้ โดยสามารถสลับระหว่างการลดระดับเกนของวงจร FF (Feed-Forward) ซึ่งเป็นกระแสหลัก และวงจร FB (Feed-Back) ที่ใช้กับคอมเพรสเซอร์แบบวินเทจ จึงช่วยให้สามารถเข้าถึงลักษณะของเสียงที่แตกต่างกันได้ตามต้องการ
Portico 5045
Portico 5045 ของ Rupert Neve Designs ที่ใช้งานง่ายนี้จะลดเสียงแบคกราวด์ในอินพุตไมโครโฟนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความคมชัดและยังเพิ่มค่าต่างของฟีดแบคได้อย่างมาก จึงถือเป็นเครื่องมือที่จำเป็นมากสำหรับการถ่ายทอดเสียงสดภายในบ้าน ที่ทำงาน สเตเดี่ยม ห้องโถง หรือสถานที่อื่นๆ ที่มีปัญหาเรื่องฟีดแบค
P2MB (Portico II Master Buss Processor)
Portico II Master Buss Processor (P2MB) เป็นเครื่องมือที่สร้างสรรค์ที่จะช่วยกำหนดขอบเขตและข้อจำกัดของการบีบอัดและการจำกัดช่องสัญญาณเดิมทั้งสองช่องให้ใหม่ ตั้งแต่การมิกซ์ดนตรีแนว EDM ที่เน้นเสียงเบสหนักๆ ไปจนถึงการควบคุมวงแชมเบอร์ที่ละเอียดอ่อน ก็สามารถสร้างผลงานอันโดดเด่นให้กับทุกคนได้โดยไม่คำนึงถึงการใช้งานหรือประเภทดนตรี P2MB มาพร้อมกับการตั้งค่าที่ใช้งานได้จริงและมีประสิทธิภาพซึ่งมาในรูปแบบของค่าพรีเซ็ตจากโรงงานโดยวิศวกรผู้มีประสบการณ์ของเรา เพื่อให้สามารถใช้ได้กับสถานการณ์ที่หลากหลายอย่างลงตัว คุณสามารถเรียกดูพรีเซ็ตเสียงต่างๆ ที่ยอดเยี่ยมและใช้พรีเซ็ตเหล่านี้ได้ทันทีตามความต้องการของคุณ หรือนำไปใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการปรับจูนเสียงอย่างละเอียดให้ตรงกับความชอบของคุณ จึงช่วยลดเวลาในการตั้งค่าได้อย่างมาก
Bricasti Design Y7
Y7 ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับใช้งานในระบบดิจิตอลมิกเซอร์ RIVAGE PM เพื่อใช้ในการแสดงสด ผลิตภัณฑ์ของ Bricasti ซึ่งติดตั้งรวมอยู่ในคอนโซลเพื่อการใช้งานที่ง่าย รวดเร็ว และผู้ใช้งานมีความคุ้นเคย และเพื่อให้ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Yamaha ได้สัมผัสประสบการณ์ของ “Bricasti Sound” ที่มีชื่อเสียง
เอฟเฟกต์ Eventide SP2016
เอฟเฟกต์ Eventide SP2016 Reverb เป็นปลั๊กอินยอดนิยมของ Eventide ที่รังสรรค์ให้กับ Yamaha
โดยมีให้เลือก 220 รายการที่สามารถปรับให้เข้ากับแต่ละสถานการณ์ได้และใช้งานง่ายมาก
H3000 Live
Eventide H3000 Ultra-Harmonizer จะมีคุณภาพเสียงเอฟเฟกต์ที่โดดเด่น จึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของวิศวกรและนักดนตรีทั่วโลก และ H3000 Live ยังมีประสิทธิภาพที่เหมือนกัน ซึ่งได้รับการปรับค่าให้เหมาะสมเพื่อการใช้สัญญาณเสียงสด หน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูงนี้ช่วยให้สามารถเปลี่ยนระยะพิทช์ ค่าความหน่วง ค่าเสียงก้อง โทนเสียง ฟิลเตอร์ และค่าโมดูลอื่นๆ ที่สามารถรวมกันได้ตามความต้องการโดยใช้อัลกอริทึมขั้นสูงที่ถ่ายทอดเสียงโดยรวมออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและน่าทึ่ง รายการต่างๆ ที่ได้รังสรรค์ขึ้นอย่างระมัดระวังช่วยให้ง่ายต่อการสร้างเสียงเอฟเฟกต์ที่ไพเราะการ ซึ่งเพิ่มความกลมกลืนหรือเสียงประสานที่ไพเราะให้กับเสียงร้อง การสร้างเสียงกีตาร์ที่ประสานกันอย่างกลมกลืน หรือเสียงหน่วงและเสียงก้องที่มีประสิทธิภาพ
DaNSe
DaNSe เป็นปลั๊กอินที่ได้รับรางวัล rAVe Publications Best of ISE ในปี 2019 สำหรับหัวข้อ Best Live Mixer (เครื่องผสมสัญญาณเสียงสดที่มีประสิทธิภาพที่สุด) ในหมวดหมู่การติดตั้ง และยังถือเป็นฟังก์ชั่นลดเสียงรบกวนที่พัฒนาขึ้นเพื่อกำจัดเสียงรบกวนรอบข้างและทำให้เสียงดนตรีชัดเจนขึ้น
Interphase
Interphase เป็นปลั๊กอินการปรับ Time/Phase Alignment ซึ่งมีฟังก์ชันจับสัญญาณที่เรียบง่ายสำหรับแสดงตัวอย่างภาพรวมสั้นๆ ของสองสัญญาณเสียง ปลั๊กอินนี้จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถจัดเรียงแหล่งสัญญาณให้เวลาและเฟสตรงกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น ไมโครโฟนภายในและภายนอกของเบสดรัม หรือไมโครโฟนและสัญญาณ DI ของกีตาร์เบส
Dynamic EQ
Dynamic EQ จะใช้ฟิลเตอร์ที่มีย่านความถี่เดียวกันกับ EQ ในขณะที่ถูกป้อนเข้าสู่ระบบ Sidechain จึงทำให้เกิด EQ ที่แตกต่างกันเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับสัญญาณอินพุต เอฟเฟกต์นี้จะคล้ายกับการใช้คอมเพรสเซอร์หรือเครื่องขยายสัญญาณเสียงในย่านความถี่เฉพาะ ตัวอย่างเช่น Dynamic EQ สามารถใช้เป็นตัวลดความดัง (Vocal De-esser) ได้ ด้วยการใช้ EQ ในย่านความถี่ของเสียงแหลมสูงเมื่อไม่สามารถถ่ายทอดเสียงแหลมสูงได้ และสำหรับเสียงที่เป็นธรรมชาติโดยไม่ลดคุณลักษณะของแหล่งกำเนิดเสียง
Dynamic EQ4
Dynamic EQ4 เป็นอีควอไลเซอร์แบบไดนามิก 2 แบนด์ที่ได้รับการเพิ่มให้มาใช้ 4 แบนด์ ย่านความถี่พิเศษช่วยให้สามารถสร้างเสียงที่มีช่วงกว้างขึ้น และฟังก์ชั่นการเลือกแหล่งกำเนิดเสียงแบบ KEY IN ช่วยให้สามารถใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างเช่น หากนำ Dynamic EQ ไปใช้กับกีตาร์ และเลือกเสียงจากไมโครโฟนให้เป็นแหล่งกำเนิดเสียงแบบ KEY IN เสียงกลางของกีตาร์จะปรับให้ต่ำลงเล็กน้อยโดยอัตโนมัติเมื่อใดก็ตามที่มีเสียงร้องเข้ามา เพื่อให้เสียงร้องมีพื้นที่มากขึ้นและโดดเด่นมากขึ้น
Dynamic EQ6
Dynamic EQ6 ในขณะนี้สามารถตอบสนองความต้องการด้าน EQ ของคุณได้ทั้งหมดด้วยอีควอไลเซอร์แบบไดนามิก 6 แบนด์ EQ แบบไดนามิกรุ่นใหม่นี้มีการเพิ่มชุดคุณสมบัติจากที่เคยมีใน Dynamic EQ/EQ4 รุ่นก่อนหน้า ค่าเกนแบบคงที่จะเพิ่มความสามารถของตัวกรอง การประมวลผลตรงกลาง/ด้านข้างจะช่วยให้สามารถแก้ไขแบนด์ตรงกลางหรือความกว้างของสัญญาณสเตอริโอได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มตัวกรองโลพาส/ไฮพาส และฟังก์ชัน Auto Threshold มาให้อีกด้วยเพื่ออำนวยความสะดวก แต่ละแบนด์จะมีตัวกรอง Key-In Filter ที่สามารถควบคุมพื้นที่ความถี่ที่กระตุ้นการทำงานของ EQ แบบไดนามิกได้อย่างอิสระ
EQ-1A
EQ-1A จะจำลอง EQ พาสซีฟแบบวินเทจที่ถือเป็นความคลาสสิกที่แท้จริง อีกทั้งยังมีสไตล์การใช้งานที่โดดเด่น ด้วยฟังก์ชั่นการเพิ่มและลดที่สามารถควบคุมได้ในย่านความถี่ต่ำและความถี่สูงที่สามารถเลือกได้ แต่การตอบสนองต่อความถี่จะไม่เหมือนกับอีควอไลเซอร์ทั่วไป จึงทำให้รุ่นนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าดึงดูด อีกทั้งวงจรอินพุต/เอาต์พุตและท่อสุญญากาศจะยังช่วยสร้างความสมดุลทางดนตรีได้อย่างดี
Equalizer601
Equalizer601 จะจำลองคุณลักษณะของอีควอไลเซอร์แบบอนาล็อกในยุค 70 ซึ่งสามารถขับเสียงได้อย่างโดดเด่นด้วยการทำการบิดเบือนวงจรอนาล็อกซ้ำ
OPENDECK
OPENDECK จะจำลองการบีบอัดเทปที่สร้างขึ้นด้วยเครื่องบันทึกเทปแบบ Open Reel 2 แบบ (เครื่องบันทึกและเครื่องทำซ้ำ) โดยสามารถปรับแต่งคุณภาพเสียงเพิ่มได้โดยการปรับค่าพารามิเตอร์ เช่น ประเภทของเครื่อง คุณภาพเทป ความเร็วในการเล่น และอื่นๆ อีกมากมาย
U76
U76 เป็นหน่วยประมวลผลที่จะจำลองคอมเพรสเซอร์แบบวินเทจรุ่นมาตรฐานที่ใช้ได้หลากหลายสถานการณ์ โดยแทนที่จะกำหนดค่าพารามิเตอร์ตามเกณฑ์ทั่วไป เอฟเฟกต์ของคอมเพรสเซอร์จะถูกกำหนดโดยการปรับสมดุลระหว่างอินพุตและเอาท์พุต การตั้งค่าพารามิเตอร์ RATIO ให้เป็น “All mode” จะสร้างเสียงบีบอัดที่ทรงพลังอย่างมาก ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่รู้จักกันอย่างดีของรุ่นนี้ โทนเสียงที่สมบูรณ์จะช่วยให้เกิดคุณลักษณะโทนเสียงที่รุนแรง
Comp276
Comp276 จะจำลองคุณลักษณะของคอมเพรสเซอร์อนาล็อกแบบทั่วไปที่ใช้ในสตูดิโอต่างๆ โดยสามารถถ่ายทอดเสียงที่หนักแน่นและหนาซึ่งเหมาะสำหรับกลองหรือเบส
Opt-2A
Opt-2A จะจำลองคอมเพรสเซอร์แบบออฟติคัลที่ใช้ท่อสุญญากาศซึ่งได้รับการยกย่องเป็นอย่างดี โดยระดับเสียงจะถูกควบคุมโดยใช้ส่วนออฟติคัล, CdS Cell และแผง EL เพื่อสร้างการบีบอัดเสียงที่นุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ โทนเสียงความถี่สูงที่ไพเราะและการบิดเบือนที่เกิดในวงจรท่อสุญญากาศส่งผลให้เกิดเสียงที่สง่างามและซับซ้อน
MBC4
คอมเพรสเซอร์แบบสี่แบนด์คุณภาพสูงนี้จะใช้เทคโนโลยี VCM และมี GUI ที่ช่วยให้สามารถใช้งานง่ายและสามารถมองเห็นได้อย่างดีเยี่ยม ข้อได้เปรียบทางพฤติกรรมด้านดนตรีทั้งหมดของคอมเพรสเซอร์แบบอนาล็อกได้สรรค์สร้างไว้ในวงจรการลดระดับเกนของ MBC4 จึงทำให้สามารถควบคุมไดนามิกได้อย่างราบรื่นในขณะที่ยังสามารถรักษาภาพรวมของเสียงต้นฉบับไว้ได้ อีกทั้งยังสามารถดูภาพกราฟิกเสียงผ่านจอแสดงผลได้
Buss Comp 369
Buss Comp 369 จะจำลองบัสคอมเพรสเซอร์รุ่นมาตรฐานที่ใช้ในสตูดิโอบันทึกเสียงและสถานีวิทยุกระจายเสียงต่างๆ ตั้งแต่ยุค 80 โดยจะทำการบีบอัดเสียงได้อย่างราบรื่นและเป็นธรรมชาติโดยไม่รบกวนการแปลงสัญญาณของแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งไม่เหมือนกับการบีบอัดอย่างรุนแรงของ U76 Buss Comp 369 จะมีทั้งคอมเพรสเซอร์และเครื่องจำกัด (Limiter) ที่สามารถใช้งานแยกหรือพร้อมกันได้ โทนเสียงที่สมบูรณ์ที่สร้างขึ้นจากตัวแปลงอินพุตและเอาต์พุต และวงจร Class-A แบบไม่ต่อเนื่อง จะถูกจำลองเช่นกันด้วยการเพิ่มความหนาและความกลมกลืนให้กับเสียง
REV-X
REV-X เป็นอัลกอริทึมเสียงก้องที่ให้คุณภาพเสียงที่มีความหนาสูง เสียงก้องกังวาน มีความหน่วงที่ราบรื่น อีกทั้งยังมีการกระจายและความลึกที่สอดคล้องกันเพื่อเพิ่มคุณภาพของเสียงต้นฉบับ โดยสามารถเลือกโปรแกรมหนึ่งในสามนี้ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมและความตั้งใจในการสร้างสรรค์เสียงเพลงของคุณ: REV-X Hall, REV-X Room และ REV-X Plate
การหน่วงแบบอนาล็อก
เอฟเฟกต์การหน่วงนี้จะยึดตามการหน่วงแบบอนาล็อก E1010 ของ Yamaha ที่เปิดตัวในยุค 70 โดยได้รับการปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อให้ทันสมัยสำหรับการใช้งานที่ทันสมัย โดยจะให้เสียงสะท้อนที่ก้องและลึกเท่าๆ กัน ซึ่งเป็นคุณลักษณะของอุปกรณ์การหน่วงแบบอนาล็อก BBD ที่ใช้ใน E1010 รุ่นเดิม อีกทั้งยังสามารถเพิ่มการปรับค่าสำหรับเสียงประสานที่หนาได้ และด้วยความสามารถที่หลากหลาย คุณจึงสามารถเลือกเสียง BBD ที่ไม่มีใน E1010 รุ่นเดิมได้ จึงมีคุณลักษณะที่หลากหลายตั้งแต่เสียงที่ชัดเจน แม่นยำ ไปจนถึงเสียงที่อบอุ่น
ตัวปรับเฟสแบบคู่
ตัวปรับเฟสแบบคู่จะสร้างชุดเอฟเฟกต์ Phaser แบบวินเทจที่ผลิตขึ้นในช่วงยุค 70 และด้วยตัวปรับเฟส 2 ชุด, LFO 2 ชุด, และโหมดที่เลือกได้ 4 โหมด จึงสามารถใช้เสียงเอฟเฟกต์ที่หลากหลายได้
Max100
Max100 จะสร้างเอฟเฟกต์ Phaser แบบคลาสสิกที่เปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของยุค 70 แต่ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน ด้วยโหมดเพียง 4 โหมดและปุ่มปรับความเร็วเท่านั้น แต่สามารถสร้างสรรค์เสียงในเฟสต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
ตัวปรับเฟสแบบวินเทจ
ตัวปรับเฟสแบบวินเทจจะช่วยให้สามารถปรับแต่งเสียงในระดับสูงได้อย่างยืดหยุ่นโดยไม่ต้องจำลองการทำงานพิเศษใดๆ ด้วยจังหวะแบบ 4/6/8/10/12/16 และโหมดเพียง 2 โหมด แต่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวปรับเฟสที่ใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าความเร็ว, ย่านความถี่กลาง, ความลึก, ฟีดแบค และสีได้ เพื่อการควบคุมเอฟเฟกต์แบบละเอียด